แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระชับสัดส่วน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กระชับสัดส่วน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง


แอปเปิ้ล

ผลไม้สีแดง ๆ เขียว ๆ นี้ สามารถช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ เพราะแอปเปิ้ลได้ชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์มากมาย เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะน้ำตาลฟรักโทสในแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว
นอกจากนั้นแล้ว แอปเปิ้ลยังให้พลังงานเพียงแค่ 59 แคลอรี จึงไม่ทำให้อ้วน แถมยังมีวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก มันจึงไปเพิ่มกากใยในอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ จึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยจับคอเลสตอรอล และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ด้วย

ฝรั่ง


สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย
เพราะฉะนั้น หิวครั้งหน้า ก็อย่าลืมคว้าฝรั่งมาทานแทนขนมกรุบกรอบนะคะ อ๊ะ...คำเตือนก็คือ ทานแต่ฝรั่งเปล่า ๆ เท่านั้นนะ อย่าเผลอจิ้มพริกเกลือ พริกน้ำตาล เด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้นะเออ

แตงโม

แตงโมลูกโต ๆ รสหวาน ๆ ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนแต่ประการใด เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นท้องไส้จะปั่นป่วนเอาได้ แถมยังต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วย

ส้ม

สาว ๆ หลายคนมักแกะกากส้มออกจนหมด เพื่อให้ทานได้ง่าย ๆ แต่รู้ไหมว่า คุณกำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะกากใยของส้มนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ

มะละกอ



มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้

แก้วมังกร




แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง

และนอกจากลดน้ำหนักแล้ว ผลพลอยได้จากแก้วมังกรที่คุณสาว ๆ ไม่ควรพลาดอีกเช่นกันก็คือ แก้วมังกรเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัว แถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมดีต่อคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรด้วย

กีวี




อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาว ๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย ใครที่ชอบทานกีวีจึงได้ประโยชน์จากกีวีแบบหลายเด้งเลย

เกรปฟรุต


สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวันเชียวนะ แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้นเอง

อยากผอม อยากสวย คุณสาว ๆ ต้องไม่พลาดที่จะลิ้มลองผลไม้ลดน้ำหนัก 8 ชนิดที่นำมาฝากกันนะคะ

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับผลไม้ที่ทำให้อ้วนมากที่สุด

                                           
   ผลไม้กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งเราก็ต้องเลือกกินและกินในปริมาณที่พอดีบ้าง เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งทำให้สาวๆ กินแล้วอ้วนได้

อันดับที่ 10 ละมุด





อันดับที่ 9 ลางสาด





อันดับที่ 8 เงาะ






อันดับที่ 7 ลองกอง






อันดับที่ 6 ลำไย






อันดับที่ 5 มะม่วงน้ำดอกไม้






อันดับที่ 4 กล้วยหอม






อันดับที่ 3 ขนุน






อันดับที่ 2 กล้วยน้ำว้า







อันดับที่ 1 กล้วยไข่





สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย ที

คุณ วราพร แคล้วศึก  โทร. 0859083178

อีเมล์   pannfit@gmail.com

ข้อมูลที่  http://pannfit.blogspot.com





วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน...เลี่ยงได้ด้วยตัวคุณเอง







ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน(Woman Plus)

   
       
ปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนจัดเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญลำดับต้น ๆ ในปัจจุบัน โดยเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้

         
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ว่า ดัชนีมวลกายของคนปกติควรมีค่าอยู่ระหว่าง 18.5-24.9 แต่สำหรับคนเอเชียแล้ว ถ้ามีค่าดัชนีมวลกาย >23 ถือว่า มีภาวะน้ำหนักเกิน และถ้ามากกว่า 25 ถือได้ว่าเป็นโรคอ้วน 

ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) 
          ค่าดัชนีมวลกายเปรียบเหมือนการหาความหนาแน่นของร่างกาย โดยสามารถคำนวณได้จากน้ำหนักตัวและส่วนสูง
ดังนี้

          ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง 

          โดยค่าดัชนีมวลกายเป็นการประเมินภาวะน้ำหนักเกินแบบง่าย ๆ แต่ไม่สามารถใช้ในการประเมินบุคคลบางกลุ่มได้ เช่น สตรีมีครรภ์ นักเพาะกายอาชีพ เด็กวัยกำลังเจริญเติบโต (อายุ <18 ปี) 


สำรวจความอ้วนด้วยตัวเอง

          นอกเหนือจากค่าดัชนีมวลกายแล้ว เราสามารถสังเกตความอ้วนได้ด้วยตัวเองอย่างง่าย ๆ ดังนี้

           
เส้นรอบเอว โดยวัดจากตำแหน่งที่ป่องที่สุด โดยผู้หญิงไม่ควรเกิน 32 นิ้ว (80 ซม.) และผู้ชายไม่เกิน 36 นิ้ว (90 ซม.)

           
เซลลูไลท์ ถ้ามีการสะสมไขมันในชั้นใต้ผิวหนังมาก ๆ (โดยสามารถพองตัวได้ถึง 200 เท่า) จะทำให้มีลักษณะผิวเหมือนเปลือกส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง ซึ่งผิวบอบบางกว่าผู้ชาย

           
อัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก (Waist Hip Ratio, WHR)
 ทำได้โดยการวัดรอบเอวเปรียบเทียบกับรอบสะโพก ในผู้หญิงไม่ควรเกิน 0.85 และผู้ชายไม่ควรเกิน 1

 ภาวะอ้วนลงพุง (Metabolic X Syndrome)

         
 เป็นภาวะที่เกิดจากการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป และเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคทางเมตาบอลิกต่าง ๆ เช่น เบาหวาน หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีการวินิจฉัยตามเกณฑ์ โดยต้องมีลักษณะ 3 ใน 5 ข้อดังต่อไปนี้

           เส้นรอบเอวมากกว่า 80 ซม. และ 90 ซม. ในผู้หญิง และผู้ชายตามลำดับ

           มีความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท หรือได้รับยารักษาความดันโลหิต

           มีระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเป็นผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน

           มีระดับไขมันชนิดดีน้อยกว่า 50 และ 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้หญิงและผู้ชายตามลำดับ

           มีระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเป็น ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

เลิกพฤติกรรมทำให้อ้วน


           กินตามอารมณ์ ไม่ว่าจะเครียด เศร้า ดีใจ เสียใจ

           กินแต่ของสำเร็จรูป อาหารจานด่วน เนื่องจากมีไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง

           กินของว่างทั้งวัน กินไป ดูทีวีไป

           กินตามกระแส ตามนักชิม

           กินอาหารบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ และกลัวกินไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป

           กินออกสังคม ออกงานเลี้ยงบ่อย (กินมาก กินนาน)

           กินเร็ว เพราะปกติแล้วเราจะอิ่มได้ภายใน 20 นาที แต่ถ้ากินเร็วมาก ก็จะได้รับอาหารเกินกว่าปกติ


อย่าอดอาหารเพื่อลดความอ้วน

      
    คนทั่วไปมักจะคิดว่าการลดความอ้วนที่ดีที่สุดคือการอดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่นเพศหญิง ซึ่งกลัวอ้วนเลยกินอาหารน้อยเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ บางคนถึงขั้นโรคจิตที่เรียกว่า โรคคลั่งผอม ที่พบมากในหมู่ดารา นางแบบ หรือนักร้อง โดยโรคนี้จะทำให้เกิดอัตราเสียชีวิตได้ถึง 9 เท่าของคนปกติ

         
 การอดอาหารเพียงอย่างเดียว เมื่อไขมันเริ่มลดขนาดลง (ไม่ได้ลดจำนวนลง) ร่างกายก็จะไปสลายกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเหลวและเหี่ยว แต่เมื่อเกิดพื้นที่ว่างจากกล้ามเนื้อที่หายไป และหากกลับไปรับประทานอาหารเหมือนเดิม ร่างกายก็จะเริ่มสะสมไขมันได้อีกครั้งอย่างง่ายดายในพื้นที่ร่างกายที่ว่างเปล่าจากการขับไล่ไขมันออกไปแล้ว และกล้ามเนื้อที่หดตัวลงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า โยโย่ (YoYo Effect) กลับมาอ้วนได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม



ดัชนีน้ำตาล (Glycemic index, GI)

      
    เป็นหน่วยวัดผลของคาร์โบไฮเดรตที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือด หลังจากที่กินอาหารชนิดนั้น ๆ 1-2 ชั่วโมง อาหารที่มี GI สูง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงเร็วกว่าอาหารที่มี GI ต่ำ โดยค่าดัชนีน้ำตาลนี้จะเปรียบเทียบกับค่าอาหารอ้างอิง "น้ำตาลกลูโคส" ที่ 100 ดังนี้

           อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงมากกว่า 70 เช่น ข้าวขัดขาว ขนมปังขาว มันฝรั่งทอด ไอศกรีม ผลไม้อบแห้ง น้ำอัดลม
           อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลปานกลาง 55-70 เช่น ข้าวกล้อง มันเทศ ข้าวโพดต้ม ก๋วยเตี๋ยว พาสต้าต่าง ๆ
           อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลน้อยกว่า 55 เช่น ผัก และอาหารที่มีเส้นใยสูง ขนมปังโฮลวีท โยเกิร์ตไขมันต่ำ มะม่วงดิบ

          
การกินอาหารที่มีค่า GI ต่ำจะช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดความอ้วน

       
    กินอาหารช้า ๆ เคี้ยวหลาย ๆ ครั้งแล้วค่อยกลืน ซึ่งจะทำให้กินน้อยลง แต่อิ่มเท่าเดิม

           ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 30 นาที

           ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล รวมไปถึงข้าวหรือขนมปังขัดขาว และน้ำอัดลม

           รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ

           รับประทานอาหารเสริมเพิ่มกากใยอาหาร



  
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย ที

  คุณ วราพร แคล้วศึก  โทร. 0859083178

  อีเมล์   pannfit@gmail.com

  ข้อมูลที่  http://pannfit.blogspot.com




วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โรคอ้วน


1.อ้วนแบบลูกแอปเปิ้ล (apple-shape obesity) หรือ อ้วนลงพุง (central obesity) คือคนอ้วนที่มีรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก เกิดจากมีไขมันสะสมมากในช่องท้องและอวัยวะภายใน ไขมันที่อยู่ในอวัยวะภายในนี้จะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง



2.อ้วนแบบลูกแพร์ (pear-shape obesity) หรืออ้วนชนิดสะโพกใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่พบในเพศหญิง โดยจะมีไขมันสะสมอยู่มากบริเวณสะโพกและน่อง อ้วนลักษณะนี้ยากต่อการลดน้ำหนัก แต่โอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ จะน้อยกว่าชนิดแรก




3.อ้วนทั้งตัว (generalizedobesity) ได้แก่ คนอ้วนที่มีไขมันทั้งตัวมากกว่าปกติกระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยรอบ มีทั้งลงพุงและสะโพกใหญ่ รวมถึงมีโรคแทรกซ้อนทุกอย่างดังกล่าว และโรคที่เกิดจากน้ำหนักตัวมากโดยตรง เช่น โรคทางไขข้อ ปวดข้อ ข้อเสื่อม ปวดหลัง เหนื่อยง่าย หายใจลำบากเพราะไขมันสะสม ทำให้ระบบหายใจทำงานติดขัด




สาเหตุสำคัญของโรคอ้วนเกิดจากการที่คนเราใช้พลังงานน้อยกว่าที่ได้รับจากการ รับประทานอาหาร พลังงานที่ได้จึงมากเกินความต้องการในแต่ละวัน ทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินไว้ในรูปไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย


1.กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสอ้วนถึงร้อยละ 80 แต่ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกจะมีโอกาสอ้วนร้อยละ 40

2.นิสัยจากการรับประทานอาหารคนที่มีนิสัยการรับประทานอาหารไม่ดี หรือที่เรียกกันว่ากินจุบจิบ ไม่เป็นเวลา ก็ทำให้อ้วนขึ้นได้

3.การไม่ออกกำลังกาย ถ้ารับประทานอาหารมากเกินพอดี แต่ออกกำลังกายบ้าง ก็อาจทำให้ยืดเวลาความอ้วน แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มากเกินพอดีแล้วนั่งๆ นอนๆ โดยไร้ซึ่งการยืดเส้นยืดสาย ในไม่ช้าก็จะเกิดการสะสมไขมันในร่างกาย

4.อารมณ์และจิตใจมีบางคนที่รับประทานอาหารตามอารมณ์และจิตใจ เช่น กินเพื่อดับความโกรธแค้น กลุ้มใจ กังวลใจ คนเหล่านี้จะรู้สึกว่าอาหารทำให้ใจสงบ จึงยึดอาหารไว้เป็นสิ่งสร้างความสบายใจ แต่ในทางกลับกัน คนที่รู้สึกเสียใจ กลุ้มใจ กินอาหารไม่ได้ ถ้าในระยะเวลานานๆ ก็มีผลทำให้เกิดการขาดอาหารได้

5.ความไม่สมดุลกับความรู้สึกอิ่ม ความหิว ความอยากอาหาร เมื่อใดที่ความอยากกินเพิ่มขึ้น การบริโภคก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจถึงขั้นกินจุ และในที่สุดก็จะทำให้เกิดความอ้วน

6.เพศผู้หญิงอ้วนได้ง่ายกว่าผู้ชาย เพราะโดยธรรมชาติมักสรรหา อาหารมากินได้ตลอดเวลา อีกทั้งผู้หญิงจะต้องตั้งครรภ์ ทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้น เพราะต้องกินอาหารมากขึ้นเพื่อบำรุงร่างกายและทารกในครรภ์ และหลังคลอดบุตรแล้วก็ไม่สามารถลดน้ำหนักลงให้เท่ากับเมื่อก่อนตั้งครรภ์ได้

7.อายุเมื่ออายุมากขึ้น โอกาสที่จะอ้วนก็เพิ่มขึ้นทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งอาจเกิดจากการใช้พลังงานน้อยลง


9.ยาผู้ป่วยบางโรคจะได้รับสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้อ้วนได้ และในผู้หญิงที่ฉีดยาหรือใช้ยาคุมกำเนิดก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน

สาวๆ รู้สาเหตุที่มาของโรคอ้วนกันแล้วดังนั้นจึงควรป้งกันแล้วดูแลสุขภาพอย่าให้เกิดโรคได้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วนหรือโรคอื่นๆ "การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"


  สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย ที

  คุณ วราพร แคล้วศึก  โทร. 0859083178

     อีเมล์   pannfit@gmail.com

       ดูข้อมูลที่  http://pannfit.blogspot.com

       หรือ http://www.pannfitlooking.blogspot.com